Grand Theft Auto IV เมือง Liberty City ที่ทั้งดิบ ดาร์ก และโคตรจริงจัง

Browse By

ถ้าพูดถึงซีรีส์ Grand Theft Auto หลายคนจะนึกถึงความบ้า ฮา วุ่นวายของ GTA V กับแก๊ง Michael–Franklin–Trevor ก่อนเลย แต่ถ้าถอยหลังไปอีกยุคหนึ่ง จะมีภาคหนึ่งที่โทนต่างออกไปชัดเจน ดิบกว่า หนักกว่า จริงจังกว่า นั่นคือ Grand Theft Auto IV หรือ GTA IV

นี่คือภาคที่เรารับบทเป็น Niko Bellic ชาวยุโรปตะวันออกที่ย้ายมาเริ่มชีวิตใหม่ใน Liberty City เมืองที่บอกว่า “โอกาสมากมายรออยู่” แต่ความจริงคือเต็มไปด้วย

  • อาชญากรรม
  • แก๊งมาเฟีย
  • ตำรวจคอรัปต์
  • คนที่พร้อมจะหักหลังกันทุกเมื่อ

กลางวันใครจะใช้ชีวิตจริงจัง ลุ้นเอกสาร ลุ้นยอดขาย หรือแอบลุ้นบิลในเว็บใหญ่ ๆ โดยเพิ่งกด สมัคร UFABET มา ก็แล้วแต่ชีวิต แต่พอกลับบ้านมาเปิด GTA IV คุณจะสลับจากโลกบัญชี–เอกสาร–ตัวเลข ไปอยู่ในโลกของ Niko ที่ต้องลุ้นว่า “งานนี้จะรอดไหม หรือจะจบด้วยโพยตำรวจแทน”

มาดูกันว่า GTA IV เป็นเกมแบบไหน ทำไมหลายคนจำมันได้ในฐานะ “GTA ภาคโคตรจริงจัง” และทุกวันนี้มันยังน่าเล่นอยู่ไหมในฐานะเกมเก่า


GTA IV คือเกมแบบไหนกันแน่

ถ้าพูดสั้น ๆ GTA IV คือ

เกมแอ็กชันโลกเปิด (Open World) + อาชญากรรม + ดราม่าชีวิตผู้อพยพ

องค์ประกอบหลัก ๆ คือ

  • เมือง Liberty City ที่อิงจาก New York แบบจัดเต็ม
  • เนื้อเรื่องจริงจัง เล่าเรื่องชีวิต Niko ที่หนีอดีตอันมืดมนมาเริ่มใหม่
  • ระบบขับรถ ยิง ปั่นภารกิจ เควสต์ย่อยเพียบ
  • ฟิสิกส์ตัวละครที่ล้มแล้วล้มจริง (คนเล่นชอบแกล้งตัวเองตกบันไดเล่นเพราะ Euphoria engine นี่แหละ)

ถ้า GTA V คือภาคที่เน้นความวุ่นวาย สีสัน และเสียดสีสังคมแบบจัดเต็ม GTA IV จะให้ฟีล “หนังแก๊งมาเฟียดราม่าหนัก ๆ” มากกว่า


Niko Bellic: พระเอกที่ไม่ได้เท่แบบฮีโร่ แต่ “เป็นคน” มากที่สุดคนหนึ่งในซีรีส์

จุดแข็งใหญ่ของ GTA IV คือ ตัวเอก

Niko เป็นคนแบบไหน?

  • อดีตทหารผ่านศึกจากยุโรปตะวันออก
  • มีอดีตมืด ๆ จากสงครามที่ตามหลอกไปตลอดชีวิต
  • ย้ายมา Liberty City เพราะคำเชิญของลูกพี่ลูกน้อง “Roman” ที่บอกว่า เมืองนี้คือดินแดนแห่งโอกาส มีสาว มีรถหรู มีชีวิตฝันแบบ American Dream

แต่พอมาถึงจริง ๆ Niko พบว่า

  • Roman ก็ไม่ได้อยู่สบายอะไร
  • หนี้สินเต็มหัว
  • โดนแก๊งทวงหนี้ไล่กดดันอยู่ตลอด

Niko เลยต้องเข้าไปพัวพันกับ

  • แก๊งมาเฟีย
  • นักการเมืองดำมืด
  • พ่อค้าอาวุธ
  • ตัวละครเทา ๆ อีกเป็นโขยง

ระหว่างทางเกมค่อย ๆ ให้เราเห็นว่า

  • Niko คือคนที่ “พยายาม” จะเป็นคนดีในโลกที่ไม่เอื้อให้เป็น
  • หลายการตัดสินใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและแผลเก่าจากสงคราม

เขาเลยเป็นตัวละครที่ “มนุษย์” มาก ๆ ไม่ได้เป็นแค่ตัวตลกหรือสายเกรียนอย่างบางภาค เหมือนคนคนหนึ่งที่ดันไปอยู่ในเมืองผิดที่ผิดทาง


Liberty City: เมืองที่เหมือนมีชีวิตจริง ๆ

อีกตัวเอกของเกมคือ เมือง Liberty City

  • แบ่งเป็นหลายเขต ทั้งย่านคนรวย เกาะกลางเมือง ย่านชนชั้นแรงงาน ฯลฯ
  • แต่ละเขตมีโทนของตัวเอง
  • บางถนนให้ฟีล “นิวยอร์คตอนตี 2 ที่มีกลิ่นควันบุหรี่+เสียงไซเรน” ชัด ๆ

สิ่งที่ทำให้เมืองนี้ยังถูกพูดถึงคือบรรยากาศ

  • ฝนตก ถนนเปียกสะท้อนแสงไฟ
  • คนเดินถนนคุยกันเอง ทะเลาะ ด่า แอบมีมุกย่อย ๆ ให้ฟัง
  • วิวริมแม่น้ำตอนพระอาทิตย์ตกจากบนสะพานคือโคตรสวย

ถึงจะเป็นเกมปี 2008 แต่ความตั้งใจในรายละเอียดเล็ก ๆ ของเมืองทำให้มันยัง “น่าเดินเล่น” อยู่มากจนถึงทุกวันนี้


เกมเพลย์: ภารกิจดิบ ๆ ขับรถฟิสิกส์ลื่น ๆ และการโทรศัพท์สังคม

ระบบขับรถที่คนเถียงกันไม่จบ

ตอนออกใหม่ ๆ หลายคนบ่นว่ารถใน GTA IV ขับยาก

  • ตัวรถ “หนัก” กว่าภาคก่อน
  • เข้าโค้งแล้วตัวถังเอียง มันส์แต่ต้องจับจังหวะ
  • ถ้าหักเลี้ยวแรง ๆ ก็หมุนเองไปดิ ไม่ช่วยอะไรทั้งนั้น

แต่พอเวลาผ่านไป ความหนัก ๆ หนืด ๆ นี่แหละกลายเป็นเสน่ห์

  • รถมีน้ำหนักจริง มีโมเมนตัม
  • เวลาชนกันแล้วรถหมุนหรือล้ม มันมีแรงเหวี่ยงสมจริง
  • ฟิสิกส์คอมโบกับ Euphoria ทำให้เหตุการณ์ “ล้มแล้วดูเจ็บ” มากกว่าภาคอื่น

สายขับรถที่ชอบความรู้สึก “ควบคุมยานพาหนะจริง ๆ” จะหลงฟีลนี้ ส่วนสายอยากแค่บินเข้าโค้งแบบเบา ๆ อาจหงุดหงิดตอนแรก แต่พอชินแล้วติดได้เหมือนกัน

การยิงและหลบกำบัง

ภาคนี้เอาระบบ cover shooter มาใช้เต็มตัว

  • เราหลบหลังกำแพง รถ หรือสิ่งของ
  • เล็งโผล่หัวออกมายิงได้
  • สลับตำแหน่งกำบังไปเรื่อย ๆ

แม้ระบบยิงจะยังไม่ลื่นแบบเกมยิงล้วนยุคหลัง แต่สำหรับเกมโอเพ่นเวิลด์ยุคนั้น ถือว่าโอเคมาก

โทรศัพท์มือถือ = ศูนย์กลางชีวิต

ในเกมเราจะมีมือถือเครื่องหนึ่งที่ใช้

  • รับภารกิจ
  • โทรคุยกับเพื่อน
  • นัดไปเล่นกิจกรรม เช่น ไปดื่ม ไปเล่นโบว์ลิ่ง ไปเล่นสนุ้ก ฯลฯ

ช่วงแรก ๆ จะรู้สึกตลกกับการโดน Roman โทรมาชวนไปเล่นโบว์ลิ่งตอนเรากำลังหนีตำรวจสามดาวอยู่ แต่ตรงนี้แหละที่ทำให้รู้สึกว่า

“เออ ชีวิต Niko มันไม่ได้มีแค่งานมืด แต่มันก็มีความเป็นคนธรรมดา ๆ แซมอยู่ด้วย”


โทนและธีม: American Dream เวอร์ชันความจริงเจ็บ ๆ

GTA IV พยายามเล่าคำว่า “American Dream” ในเวอร์ชันโคตรขม

  • คนอพยพที่หวังจะมาหาโอกาสใหม่
  • แต่เจอความเหลื่อมล้ำ การเหยียด การกดขี่
  • โลกใต้ดินที่ดูเหมือนเปิดโอกาสแบบลัด แต่ก็เต็มไปด้วยกับดัก

ตลอดเกม Niko ต้อง

  • เลือกว่าจะทำงานให้ใคร
  • จะหักหลังใคร
  • จะไว้ชีวิตหรือจะจบเรื่องด้วยกระสุน

การตัดสินใจบางอย่างจะมีผลต่อเนื้อเรื่องและฉากจบ ทำให้เราได้เห็นว่า

ไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน โลกของ Liberty City ก็ไม่เคย “แฟร์” ให้คุณเต็มร้อยอยู่ดี

แต่ในความหม่นนั้น เกมก็มีช่วงขำ ๆ เสียดสีการเมือง สื่อ และสังคมอเมริกันตามสไตล์ Rockstar แทรกอยู่ตลอด


ทำไม GTA IV ถึงยังน่าเล่นในยุคที่มี GTA V แล้ว

คำถามยอดฮิต:

“ไหน ๆ ก็มี GTA V แล้ว ยังควรกลับไปเล่น IV อีกไหม?”

คำตอบแบบใจจริงคือ ควร ถ้าคุณอยากได้ฟีลที่แตกต่างจากภาค V แบบชัดเจน

จุดที่ GTA IV ยังโคตรมีเสน่ห์คือ

  • โทนเรื่องดิบและจริงจัง
    • ภาค V อาจจะมีดราม่า แต่ยังมีความตลกร้ายและความเวอร์ ๆ แซมอยู่
    • ภาค IV จะไปทางดราม่าแบบหนัก ๆ เหมือนดูหนังแก๊งอาชญากรรมจริงจัง
  • Niko เป็นตัวละครที่ “เจ็บ” มาก
    • เขาไม่ได้มีความฝันใหญ่โตแบบเป็นเจ้าพ่อ
    • เขาแค่อยากมีชีวิตสงบ ๆ แต่โลกมันไม่ให้
  • Liberty City เวอร์ชันนี้มีบรรยากาศพิเศษมาก
    • ทั้งแสง สี และโทนภาพมันให้ฟีลหม่น ๆ แบบของตัวเอง
  • ฟิสิกส์ความเกลือ
    • ใครชอบดูตัวละครล้มกลิ้งตกบันไดแบบดูแล้วเจ็บแทน เกมนี้คือสนามทดลองชั้นดี

และถ้าวันไหนคุณพักจากการวิ่งลุ้นบิลหรือเช็คราคาในเว็บใหญ่ที่เข้าใช้งานจาก ยูฟ่าเบท เป็นประจำ แล้วอยากมาดู “ความเสี่ยง” ในโลกสมมติที่ถ้าพลาดแค่โดนตำรวจไล่ ไม่ได้มีใครมาตามหนี้จริง ๆ GTA IV ก็ตอบโจทย์ใช้ได้เหมือนกัน 😅


DLC: The Lost and Damned / The Ballad of Gay Tony

นอกจากเกมหลัก GTA IV ยังมี DLC ใหญ่สองตัวที่ถือว่าดีมาก

  • The Lost and Damned – เน้นแก๊งมอเตอร์ไซค์ บรรยากาศดิบ หยาบ มืด
  • The Ballad of Gay Tony – สีสันจัดขึ้น เน้นโลกไนต์คลับ ความหรูหรา ฝั่งไฮโซของเมือง

ทั้งสองภาคนี้

  • ใช้เมืองเดียวกัน (Liberty City)
  • เล่าเรื่องจากมุมของตัวละครคนอื่น
  • มีช่วงที่เนื้อเรื่องทับซ้อนกับภาคหลัก ทำให้เห็นภาพเมืองนี้จากหลายสายตา

ถ้าอินกับโลกของ GTA IV จริง ๆ เล่น DLC สองตัวนี้คือคุ้มมาก เหมือนได้ดูหนังชุดเดียวกันแต่เปลี่ยนมุมกล้อง


เหมาะกับใคร / อาจไม่ใช่สำหรับใคร

เหมาะมากถ้า…

  • ชอบเกมโลกเปิดแนวอาชญากรรมที่เน้นเนื้อเรื่องจริงจัง
  • อินกับบรรยากาศเมืองใหญ่หม่น ๆ ฝนตก ไฟถนนเหลือง ๆ
  • ชอบตัวละครนำที่มีอดีตมืดและการตัดสินใจยาก ๆ
  • เคยเล่นแต่ GTA V แล้วยังไม่เคยสัมผัส “โทนเก่า” ที่ดิบกว่านี้

อาจไม่ใช่ถ้า…

  • อยากได้ระบบเกมเพลย์ทันสมัยสุดแบบภาคใหม่ (เช่น การยิงลื่นระดับเกมปีหลัง ๆ)
  • ไม่ชอบฟิสิกส์รถหนัก ๆ ล้มแล้วกลิ้งดูเจ็บจริง
  • ไม่อินกับโทนหม่น ๆ ดราม่า ชอบแนวฮา ๆ บ้า ๆ แบบภาค V มากกว่า

สรุป: ทำไมการกลับไป Liberty City ใน GTA IV ยังคุ้มอยู่เสมอ

สุดท้ายแล้ว Grand Theft Auto IV ไม่ได้เป็นแค่ภาคก่อนหน้า GTA V
แต่มันคือ “อีกหน้า” หนึ่งของซีรีส์ GTA ที่จริงจังที่สุด

  • เล่าเรื่องคนต่างถิ่นที่มาหาโอกาสในเมืองใหญ่
  • พบว่าภายใต้คำว่า “โอกาส” มีทั้งกับดักและเลือด
  • ต้องเลือกทางเทา ๆ ระหว่างเงิน ความอยู่รอด และสิ่งที่ยังเหลือจากคำว่า “ศีลธรรม” ในใจ

มันเป็นเกมที่

เล่นแล้วอาจไม่ได้แค่หัวเราะกับการป่วนเมือง
แต่อาจทำให้เรานั่งเงียบ ๆ คิดถึงชีวิตของ Niko
และชีวิตของคนที่ต้อง “มาเริ่มใหม่” ในที่ที่ไม่รู้จักจริง ๆ

ถ้าวันไหนคุณอยากหยุดลุ้นจากโลกจริง ทั้งงาน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่โลกเดิมพันที่เข้าใช้งานผ่าน ทางเข้า UFABET ล่าสุด แล้วอยากลองลุ้นแบบอื่นดูบ้าง ลุ้นว่าจะหนีตำรวจทันไหม ลุ้นว่าเราจะตัดสินใจยิงหรือไว้ชีวิตคนตรงหน้า

การกลับไปเดินเล่นบนถนนเปียกฝนใน Liberty City กับ Niko Bellic สักรอบใน GTA IV อาจเป็นหนึ่งในทริป “เกมเก่า” ที่ยังคมและเจ็บที่สุดทริปหนึ่งในชีวิตเกมเมอร์ของคุณเลยก็ได้ 🌧️🚕🗽